• หน้าแรก /
  • รักษาอาการปวดด้วยการฉีดยาลดอาการปวด

รักษาอาการปวดด้วยการฉีดยาลดอาการปวด

อาการปวด อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม หากปล่อยไว้นานอาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่กระทบชีวิตประจำวัน หนึ่งในวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมคือ การฉีดยาลดอาการปวด (Steroid Injection) ซึ่งช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการได้อย่างตรงจุด รวดเร็ว และปลอดภัย มาดูกันว่าการฉีดยาลดอาการปวดทำบริเวณไหนได้บ้าง และเหมาะกับใครบ้าง

ฉีดยาลดอาการปวดคืออะไร?

ฉีดยาลดอาการปวด (Pain relief injection) เป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างมีประสิทธิภาพสูง เมื่อนำมาฉีดเข้าสู่ตำแหน่งที่มีอาการปวดหรืออักเสบ เช่น ข้อเข่า ข้อไหล่ กระดูกสันหลัง หรือเส้นประสาท ยาจะช่วยลดบวม ลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวดได้อย่างตรงจุด ต่างจากการทานยาซึ่งกระจายไปทั้งร่างกาย

หลักการทำงานของการฉีดยาลดอาการปวด

การฉีดยาลดอาการปวด (เช่น สเตียรอยด์) จะออกฤทธิ์โดยตรงในบริเวณที่มีการอักเสบหรือเจ็บปวด ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและเห็นผลเร็วขึ้น หลักการทำงาน ได้แก่

  • ลดการอักเสบเฉพาะที่
    ยาจะออกฤทธิ์ตรงจุดที่ฉีด เช่น ข้อ เอ็น หรือรอบเส้นประสาท ทำให้การอักเสบลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดความเจ็บปวด
    เมื่อการอักเสบลดลง อาการปวดก็จะเบาลงตาม ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
  • ช่วยให้ขยับหรือทำกายภาพบำบัดง่ายขึ้น
    เมื่ออาการปวดลดลง ผู้ป่วยสามารถขยับร่างกายหรือทำกายภาพบำบัดได้สะดวกขึ้น ส่งผลให้การฟื้นฟูเร็วขึ้น

ข้อดีของการฉีดยาลดอาการปวด

  • เป็นหัตถการเล็ก ใช้เวลาไม่นาน
    การฉีดใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที หลังทำสามารถกลับบ้านได้เลย
  • ไม่ใช่การผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน
    ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังฉีด
  • ลดอาการปวดได้ยาวนาน
    โดยทั่วไปอาจช่วยบรรเทาอาการได้นานกว่า 3 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
  • ลดการพึ่งพายาแก้ปวด
    ทำให้ไม่ต้องทานยาแก้ปวดต่อเนื่อง ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร ตับ หรือไต
  • คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการรักษาบางวิธี
    เช่น การจี้ไฟฟ้า (RFA) แม้จะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ค่าใช้จ่ายมักสูงกว่า การฉีดยาลดอาการปวดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีในราคาที่เข้าถึงได้

ตำแหน่งที่สามารถฉีดยาลดอาการปวดได้

  • ข้อกระดูก (Joint injection) เช่น ข้อเข่า ข้อไหล่ สะโพก ข้อศอก ข้อมือ
  • กระดูกสันหลัง เช่น การฉีดรอบเส้นประสาท (Nerve root block), การฉีดเข้าช่องเอพิดูรัล (Epidural steroid injection), การฉีดรอบข้อต่อสันหลัง (Facet joint)
  • เอ็นและกล้ามเนื้อ (Tendon/Ligament injection) เช่น เอ็นไหล่อักเสบ, พังผืดฝ่าเท้าอักเสบ
  • ถุงน้ำข้อ (Bursa injection) เช่น ถุงน้ำข้อไหล่หรือสะโพกอักเสบ

ฉีดยาลดอาการปวดเหมาะกับใคร?

กลุ่มผู้ที่เหมาะสม ในการได้แก่

  • ผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อม หรือปวดข้อจากการอักเสบ
    เช่น ผู้ที่มีอาการกำเริบของ ข้อเข่า ข้อไหล่ หรือข้อสะโพกเสื่อม ทำให้เคลื่อนไหวติดขัดหรือเจ็บเวลาลุกนั่ง เดินขึ้นลงบันได
  • ผู้ที่มีหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือปวดหลังเรื้อรัง
    อาการเช่น ปวดร้าวจากเอวลงขา ชา ขาอ่อนแรง ซึ่งเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ
  • ผู้ที่มีเอ็นอักเสบ หรือพังผืดฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar fasciitis)
    เช่น ปวดส้นเท้าเวลาเดินตอนเช้า หรือเอ็นไหล่อักเสบที่ทำให้ยกแขนไม่สุด
  • ผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัด
    เมื่อการทานยาแก้ปวด ยาลดอักเสบ หรือการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องยังไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น
  • ผู้ที่ยังไม่ต้องการหรือยังไม่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัด
    เช่น อาการยังไม่รุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด หรือผู้สูงอายุที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการใหญ่

ผลลัพธ์จากการฉีดยาลดอาการปวด

  • อาการปวดมัก ทุเลาภายใน 2–7 วัน
  • ผลการรักษาอยู่ได้ หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
  • ทำให้กลับมาเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
  • ช่วยให้การทำกายภาพบำบัดได้ผลมากขึ้น

การดูแลตัวเองหลังฉีดยาลดอาการปวด

  • พักการใช้งานบริเวณที่ฉีด 24–48 ชั่วโมง
  • สามารถประคบเย็นได้หากมีอาการบวม เจ็บ
  • หลีกเลี่ยงการออกแรงหนัก ๆ ในช่วงแรก
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมากขึ้น บวม แดง หรือมีไข้ ควรรีบกลับมาพบแพทย์ทันที

สรุป

การ ฉีดยาลดอาการปวด เป็นทางเลือกที่ช่วยบรรเทาอาการปวดและการอักเสบได้อย่างตรงจุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดข้อ ปวดหลัง หรือเอ็นอักเสบที่ไม่ดีขึ้นจากการรักษาวิธีอื่น อย่างไรก็ตาม ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และควรทำควบคู่กับการฟื้นฟู เช่น การกายภาพบำบัด เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน