เรื่องเล่าจากแพทย์
เคสปวดคอเรื้อรังที่ดีขึ้นได้ ด้วยการวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด
ในฐานะหมอเฉพาะทางที่ดูแลผู้ป่วยด้านอาการปวดเรื้อรังมาหลายปี
หนึ่งในเคสที่หมออยากเล่าให้ฟังคือเคสคุณพรพรรณ อายุ 57 ปี
เธอเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลที่ต้องอยู่กับ “อาการปวดคอ” มานานเกือบ 5 ปี
อาการที่กระทบชีวิตประจำวันมากกว่าที่คิด
ตอนที่มาพบหมอครั้งแรก เธอเล่าว่าอาการปวดคอเป็นอยู่แทบทุกวัน
โดยเฉพาะช่วงเช้าที่ตื่นขึ้นมา—คอมักตึงและขยับได้ไม่ถนัด
เมื่อแหงนคอก็จะปวดมาก ปวดร้าวไปที่บ่าและสะบักด้วย
นอนหลับไม่สนิท ต้องเปลี่ยนหมอนอยู่บ่อยครั้ง
ปวดจนทำให้ไม่กล้าขับรถไกลหรือทำงานบ้านนาน ๆ
*แม้จะเคยกินยาหลายขนาน ทำกายภาพบำบัดมาหลายรอบ ช่วยบรรเทาได้ 1-2 วัน แล้วอาการก็กลับมาเสมอ
ขั้นตอนการวินิจฉัยที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น
หมอเริ่มต้นจากการซักประวัติละเอียด
ตรวจร่างกายเพื่อประเมินการเคลื่อนไหว จุดกดเจ็บ และระบบประสาท จากนั้นส่งตรวจ X-ray กระดูกคอ
ผล X-ray พบว่าเธอมี ข้อกระดูกคอเสื่อมบริเวณ C5–7 (Facet Joint Arthropathy) ซึ่งตรงกับรูปแบบอาการของเธอ
เพื่อยืนยันตำแหน่งที่เป็นต้นเหตุของความปวด หมอทำการฉีดยาชาเพื่อวินิจฉัยไปยังข้อต่อคอ C5-7 นี้
หลังฉีดคุณพรพรรณหายปวดคอทันที
เธอยังบอกอีกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่ปวดเลย แต่ก็ต้องบอกเธอว่าการฉีดยาชานี้ ฉีดแล้วหายปวดแค่ 1 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นการฉีดเพื่อหาสาเหตุเท่านั้น ยังไม่ใช่การรักษา
การวางแผนการรักษา
ในเคสนี้ การจี้ไฟฟ้าลดการส่งสัญญาณปวด (Radiofrequency Ablation – RFA)
เป็นวิธีที่เหมาะกับต้นเหตุและมีหลักฐานสนับสนุนค่อนข้างชัดเจน เป็นมาตรฐานในการรักษาโรคกระดูกต้นคอเสื่อมของประเทศชั้นนำอื่นๆ
การจี้ไฟฟ้าใช้เวลาในการทำ 20-30 นาที โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล คุณพรพรรณมีความกังวลในการทำหัตถการ เนื่องจากลองมาแล้วมากกว่า 5-10 วิธี ที่ไม่ได้ผล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรักษาด้วยการทำ RFA
ผลหลังการรักษาของคุณพรพรรณ
เมื่อทำ RFA แล้ว อาการปวดคอลดลงชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์แรก
นอนหลับดีขึ้น กลับมาใช้ชีวิตประจำวันและออกกำลังกายเบา ๆ ได้
หมอและทีมพยาบาลติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้มั่นใจว่าเธอฟื้นตัวได้ดีและมั่นใจในการใช้ร่างกายมากขึ้น
คุณพรพรรณทำกายภาพร่วม สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอกับนักกายภาพ (ออกกำลังกายบำบัด) เมื่อมาตรวจติดตามที่ 6 เดือน อาการปวดของเธอดีขึ้นมากกว่า 90% กลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติ
แล้วถ้าไม่อยากทำ RFA ยังมีอะไรช่วยได้บ้าง?
โรคข้อต่อคอเสื่อม ไม่สามารถรักษาโดยการผ่าตัด หากคนไข้ไม่สะดวกทำ RFA ซึ่งเป็นการรักษามาตรฐาน ทางเลือกที่หมอสอนให้คนไข้หลายคนลองทำและมักช่วยให้อาการดีขึ้นได้ระดับหนึ่งมีดังนี้ค่ะ
1) ปรับท่าทางในการทำงานและชีวิตประจำวัน
- ปรับความสูงโต๊ะ เก้าอี้ และระยะหน้าจอให้เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการก้มคอนาน ๆ โดยเฉพาะตอนใช้มือถือ
- หมั่นเปลี่ยนท่าเคลื่อนไหวทุก 30–45 นาที
2) ออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอและสะบัก
กล้ามเนื้อกลุ่มที่หมอให้ความสำคัญ ได้แก่
- กล้ามเนื้อสะบัก (scapular stabilizers)
- กล้ามเนื้อคอด้านหน้าและด้านข้าง
- กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core)
เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ข้อคอจะรับแรงน้อยลง อาการปวดมักลดลงมาก
3) ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์
น้ำหนักตัวที่มากเกินไปสัมพันธ์กับอาการปวดคอและหลังเรื้อรัง
การรักษาน้ำหนักอยู่ในช่วงเหมาะสม ช่วยลดแรงกดบนกระดูกและข้อต่อได้
4) ใช้ยาเฉพาะช่วงที่อาการกำเริบ
ไม่ใช่การกินเป็นประจำ แต่ใช้เพียงสั้น ๆ ตามอาการและคำแนะนำแพทย์
5) ทำกายภาพบำบัดที่เหมาะสม
ในกลุ่มนี้หมอจะไม่ได้แนะนำให้ทำกลุ่มเครื่องชอคเวฟ หรือ PMS เนื่องจากเครื่องมือกลุ่มนี้เหมาะกับเอ็นอักเสบ หมอจะเน้นการบรรเทาปวดและชะลอความเสื่อมของข้อต่อคอ ได้แก่
- manual therapy การบำบัดด้วยมือ
- strengthening program การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- posture retraining การปรับท่าทางการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมาะสม บางคนอาจตอบสนองดีขึ้นมากกับการทำอย่างสม่ำเสมอ
RFA เป็นเพียงหนึ่งในทางเลือก แต่ไม่ว่าผู้ป่วยจะเลือกวิธีไหน
“การประเมินที่ถูกต้อง + การดูแลพื้นฐานที่เหมาะสม”
คือหัวใจสำคัญที่สุดของการรักษาอาการปวดคอเรื้อรัง
หวังว่าเรื่องนี้จะช่วยให้หลายคนเห็นภาพรวมและมีความมั่นใจมากขึ้นในการดูแลตัวเองค่ะ