ปวดข้อสะโพกบ่อย ร่างกายกำลังเตือนอะไรเราอยู่?
หลายคนอาจเคยมีอาการปวดสะโพกจากการเดิน วิ่ง ยกของหนัก หรือยืนนาน ๆ แต่หากคุณเริ่มมีอาการปวดถี่ขึ้น ปวดสะโพกเรื้อรัง หรือมีอาการตึง กล้ามเนื้อเกร็ง ร้าวลงขา อ่อนแรง หรือมีอาการบวม อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกต่อไป เพราะอาจเป็น “สัญญาณเตือน” ของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อสะโพก เส้นประสาท กล้ามเนื้อรอบสะโพก หรือแม้แต่แนวโครงสร้างของร่างกายที่ไม่สมดุล ซึ่งหากปล่อยไว้ อาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้
สาเหตุหลักของอาการปวดสะโพก
- การใช้งานสะโพกหนักเกินไป หรือท่าทางไม่เหมาะสม
การยืน เดิน วิ่ง หรือยกของหนักเป็นเวลานานโดยไม่พัก หรือใช้งานสะโพกซ้ำ ๆ ในท่าทางเดิม อาจทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อสะโพกถูกใช้งานเกินขีดจำกัด นำไปสู่อาการปวด อักเสบ หรือสะโพกล้า - ภาวากล้ามเนื้อหรือข้อต่อสะโพกเสื่อม (Hip Muscle or Joint Degeneration)
พบได้บ่อยในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก เกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อน ข้อต่อ หรือกล้ามเนื้อรอบสะโพก ทำให้เกิดการเสียดสีและอักเสบ ส่งผลให้ปวด สะโพกบวม หรือฝืดตึงเมื่อตื่นนอนตอนเช้า - การบาดเจ็บของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ หรือหมอนรองกระดูก (Ligament, Muscle, or Disc Injury)
มักเกิดจากอุบัติเหตุ เช่น การหกล้ม ข้อสะโพกเคลื่อน บิดตัวแรง หรือเล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว อาจทำให้ปวดทันที เดินลำบาก หรือมีอาการชา ร้าวลงขา - โครงสร้างร่างกายไม่สมดุล
การเดินผิดท่า ความผิดปกติของข้อเท้า ข้อเข่า หรือกระดูกสันหลัง รวมถึงการใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ล้วนส่งผลต่อการลงน้ำหนักที่สะโพกและการเคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดอาการปวดสะโพกสะสมในระยะยาว
อาการปวดสะโพกแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?
-ปวดสะโพกเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ โดยไม่ดีขึ้นแม้พักหรือใช้ยาทา/ยาแก้ปวด
-ปวดสะโพกร่วมกับอาการอื่น เช่น บวม แดง ร้อน ข้อต่อมีเสียงดัง หรือขยับลำบาก
-ปวดสะโพกเฉียบพลันหลังจากหกล้ม ข้อสะโพกเคลื่อน บิดตัวแรง หรือได้รับแรงกระแทก
-ปวดสะโพกเมื่อขึ้น–ลงบันได เดินนาน ๆ หรือนั่งยอง ๆ แล้วรู้สึกไม่มั่นคงหรือขาอ่อนแรง
-มีอาการฝืดตึงช่วงเช้า หรือสะโพกติดจนลุกนั่งไม่สะดวก
-ปวดสะโพกจนรบกวนการเดิน การนอน หรือการทำกิจวัตรประจำวัน
-มีประวัติโรคข้อสะโพกเสื่อม อักเสบ เส้นประสาทถูกกดทับ หรือโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อในครอบครัว และเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของข้อต่อสะโพก
วิธีการรักษาอาการปวดสะโพกที่ P.S. Center
ดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางร่วมกับนักกายภาพบำบัด เพื่อการฟื้นฟูที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ” ของอาการปวดสะโพก
อาการปวดสะโพก ไม่ใช่แค่ผลจากการใช้งานหนักหรืออายุมากขึ้น เพราะหากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง อาจพัฒนาเป็นปัญหาเรื้อรัง เช่น ข้อสะโพกเสื่อม เส้นเอ็นอักเสบ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือความผิดปกติของกล้ามเนื้อและข้อต่อสะโพกที่ส่งผลต่อการเดินและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน
ที่ P.S. Center เราใช้แนวทางการรักษาแบบผสมผสาน โดยความร่วมมือระหว่างทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการระงับปวด และทีมนักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของอาการให้ตรงจุด ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งข้อต่อ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง พร้อมออกแบบ แผนการรักษาเฉพาะบุคคล ที่ตอบโจทย์อาการและพฤติกรรมการใช้งานของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง
ขั้นตอนการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง
โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาอาการปวดสะโพก
เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุดมากที่สุด ที่ P.S. Center เราให้ความสำคัญกับ “การวินิจฉัย” ในทุกขั้นตอนอย่างละเอียด โดยทีมแพทย์เฉพาะทางจะดูแลคุณตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยกระบวนการดังนี้
1. ซักประวัติอาการอย่างละเอียด (โดยแพทย์ทุกเคส)
แพทย์จะสอบถามข้อมูลสำคัญ เช่น
– ลักษณะของอาการปวด
– ระยะเวลาและความถี่
– สิ่งกระตุ้นหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
– อาการร่วมอื่น ๆ เช่น สะโพกบวม ร้อน แดง ตึงหรือฝืดตอนเช้า อ่อนแรง หรือมีเสียงดังผิดปกติในข้อต่อเวลาขยับ เป็นต้น
*ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์เข้าใจภาพรวมของปัญหา และเริ่มต้นวางแผนการวินิจฉัยที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
2. ตรวจร่างกายเฉพาะทาง
ขั้นตอนต่อมาคือการตรวจประเมินร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
– ตรวจคลำบริเวณสะโพกและข้อต่อที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจหาจุดกดเจ็บ บวม หรือการสะสมน้ำในข้อสะโพก
– ประเมินการเคลื่อนไหวของข้อสะโพก รวมถึงข้อเข่าและข้อเท้า ทั้งการงอ เหยียด หมุนเข้า–หมุนออก ว่ามีข้อจำกัดหรืออาการเจ็บขณะเคลื่อนไหวหรือไม่
– ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps), กล้ามเนื้อหลังขา (Hamstring), กล้ามเนื้อสะโพก (Gluteal muscles) และกล้ามเนื้อน่อง (Calf muscle)
– ตรวจเสถียรภาพของเอ็นและข้อต่อรอบสะโพก เช่น เอ็นรอบข้อสะโพกและข้อเข่า
– ประเมินความเกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น อาการร้าวลงขา อาการชา–อ่อนแรง หรือสัญญาณของเส้นประสาทถูกกดทับ
หากจำเป็น อาจมีการส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น MRI, X-ray หรืออัลตราซาวด์ เพื่อตรวจหาความเสียหายของกระดูก กระดูกอ่อน หมอนรองกระดูก หรือเส้นเอ็นอย่างชัดเจน
3. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อประเมินอาการครบถ้วนแล้ว แพทย์จะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดร่วมกัน เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาที่ตรงกับสาเหตุของอาการมากที่สุด โดยเน้นการรักษาแบบบูรณาการร่วมกับทีมนักกายภาพบำบัด
เพื่อให้ได้ผลทั้งการควบคุมอาการเฉียบพลัน และฟื้นฟูโครงสร้างในระยะยาว
แนวทางการรักษาอาการปวดสะโพก ที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ”
การรักษาอาการปวดในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงการกินยา หรือการผ่าตัดเท่านั้น แต่ยังมีเทคนิคเฉพาะทางที่สามารถช่วยลดอาการปวด ฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และปรับสมดุลการทำงานของร่างกายได้อย่างตรงจุด มาดูกันว่ามีเทคนิคใดบ้างที่ใช้บำบัดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. Dry Needling
เทคนิคการใช้เข็มขนาดเล็กที่ไม่มียา แทงเข้าไปยัง “จุดกดเจ็บ” หรือบริเวณกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวด เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังจากกล้ามเนื้อ เช่น ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง หรือสะบัก
2. การฉีดยาชาเพื่อลดอาการปวด (Nerve or Ganglion Block)
เป็นการฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าไปบริเวณเส้นประสาทหรือปมประสาทที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด ช่วยระงับความเจ็บปวดชั่วคราว และยังสามารถใช้เพื่อวินิจฉัยหาต้นเหตุของอาการปวดได้อย่างแม่นยำ
3. การฉีดยาลดอาการปวดด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP Therapy)
การใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากร่างกายผู้ป่วยเอง ฉีดเข้าสู่บริเวณที่มีการอักเสบหรือเสื่อมเรื้อรัง เช่น หมอนรองกระดูก เอ็น หรือกระดูกอ่อนรอบข้อสะโพก
PRP มีสารกระตุ้นการฟื้นฟู (Growth Factors) ที่ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะข้อเสื่อม เอ็นอักเสบ หรือเจ็บสะโพกเรื้อรังจากการใช้งานหนัก
4. การฉีดโบท็อกซ์ (Botox Injection)
โบท็อกซ์ไม่ได้ใช้เพียงในด้านความงามเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หรืออาการปวดบริเวณสลักเพชร (Piriformis Syndrome)
กลไกของ Botox คือการยับยั้งสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณความเจ็บปวด จึงช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและลดการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. RFA (Radiofrequency Ablation)
เทคนิคการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงสร้างความร้อนเฉพาะจุด ไปยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวด ทำให้เส้นประสาทไม่สามารถส่งสัญญาณปวดไปยังสมองได้
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดคอ หรือปวดข้อจากข้อเสื่อม ที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วยังไม่ดีขึ้น
*ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละวิธีตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจไม่จำเป็นต้องฉีดยาหรือทำหัตถการทันที
6.การฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัด
จุดเด่นของการรักษาที่ P.S. Center
- ตรวจและวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางทุกเคส
ประเมินอาการปวดสะโพกอย่างละเอียด ครอบคลุมตั้งแต่ข้อต่อ กล้ามเนื้อรอบสะโพก ต้นขา แกนกลางลำตัว (Core Muscle) ไปจนถึงท่าทางและพฤติกรรมที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างสะโพก - วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment)
ปรับแนวทางให้เหมาะกับสาเหตุและระดับอาการของแต่ละราย ไม่ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ครอบคลุมตั้งแต่เอ็นสะโพกอักเสบ ข้อสะโพกเสื่อม หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้น ไปจนถึงปัญหากล้ามเนื้อไม่สมดุล - เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย
เช่น PRP, RFA และ Ultrasound ช่วยลดการอักเสบ คลายกล้ามเนื้อ และบรรเทาอาการปวดได้อย่างตรงจุด โดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดเรื้อรังหรือการผ่าตัดที่ไม่จำเป็น
ฟื้นฟูการทำงานอย่างเป็นระบบโดยนักกายภาพเฉพาะทาง
เสริมความแข็งแรงและสมดุลของกล้ามเนื้อรอบสะโพกและต้นขา เพื่อให้กลับมาเดิน วิ่ง หรือนั่งยืนได้อย่างมั่นใจ พร้อมลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำในระยะยาว