การรักษาอาการ ปวดหลังร้าวลงขา ที่ P.S. Center

ปวดหลังร้าวลงขา มีสาเหตุเกิดจากอะไร?

อาการปวดหลังที่ร้าวลงขามักสร้างความรำคาญและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของหลายคน ซึ่งอาการนี้ไม่ใช่แค่ปวดหลังธรรมดา แต่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทหรือโครงสร้างกระดูกสันหลัง หากปล่อยไว้นาน อาการอาจรุนแรงขึ้นและส่งผลต่อการเคลื่อนไหว

สาเหตุหลักของอาการปวดหลังร้าวลงขา

  1. หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมและเคลื่อนตัว (Herniated Disc / Disc Prolapse)
    เมื่อหมอนรองกระดูกสันหลังที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังสึกหรอหรือฉีกขาด ทำให้เนื้อเยื่อภายในดันออกไปกดทับเส้นประสาท ส่งผลให้อาการปวดร้าวลงขา เกิดชาหรืออ่อนแรงในบางราย
  2. เส้นประสาทถูกกดทับ (Nerve Compression)
    ภาวะเส้นประสาทถูกกดทับอาจเกิดจากกระดูกงอก (Bone Spur) หรือการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบ ๆ ทำให้เกิดการระคายเคืองและอาการปวดแผ่ลงขาได้
  3. โรคนี้เกิดจากการกดทับของเส้นประสาทไซแอติก (Sciatic nerve) ที่ทำให้อาการปวดแผ่จากหลังส่วนล่างลงมายังขาและเท้า 
  4. กล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อรอบขาเกร็งหรืออักเสบ
    การเกร็งตัวหรือบาดเจ็บของกล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่างและสะโพก อาจกดทับเส้นประสาทบางส่วน ทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขาได้เช่นกัน


ปวดหลัง vs ปวดหลังร้าวลงขา…ต่างกันอย่างไร?

อาการปวดหลังเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ หรือผู้สูงอายุที่มักมีภาวะเสื่อมของกระดูกสันหลัง แต่หลายครั้งผู้ป่วยมักสงสัยว่า อาการปวดหลังทั่วไป กับ อาการปวดหลังที่ร้าวลงขา แตกต่างกันอย่างไร และควรกังวลแค่ไหน

*ปวดหลังธรรมดา (Mechanical Back Pain)
สาเหตุหลัก

  • เกิดจากกล้ามเนื้อตึง, เอ็นอักเสบ, หมอนรองกระดูกเสื่อมเล็กน้อย หรือท่าทางการใช้ร่างกายที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งทำงานนานๆ ยกของผิดท่า

ลักษณะอาการ

  • ปวดตึง หน่วง หรือเกร็งเฉพาะที่บริเวณหลังหรือเอว
  • อาการมักดีขึ้นเมื่อพักหรือเปลี่ยนท่าทาง
  • ไม่ร้าวลงขา และไม่มีอาการชา อ่อนแรง

ข้อควรระวัง

  • แม้จะไม่อันตราย แต่หากปวดบ่อยๆ หรือเรื้อรัง อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติที่ควรปรับพฤติกรรมหรือเข้ารับการตรวจเพิ่มเติม

ปวดหลังร้าวลงขา (Radicular Pain / Sciatica)
สาเหตุหลัก

  • มักเกิดจาก “เส้นประสาทถูกกดทับ” เช่น
  • หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท
  • กระดูกสันหลังเสื่อมจนช่องกระดูกแคบ
  • ภาวะการอักเสบหรือบาดเจ็บที่ไปกดเบียดเส้นประสาท

ลักษณะอาการ

  • ปวดเริ่มจากหลังหรือเอว แล้วร้าวลงขา อาจร้าวถึงน่องหรือปลายเท้า
  • ลักษณะปวดคล้ายไฟช็อต หรือปวดแปลบร้าว
  • อาจมีอาการชา อ่อนแรง หรือรู้สึกเสียวซ่าที่ขาร่วมด้วย
  • มักปวดมากขึ้นเวลาไอ จาม นั่งนาน หรือก้มตัว

ข้อควรระวัง

  • เป็นสัญญาณของปัญหาเส้นประสาท หากปล่อยไว้นานอาจทำให้เส้นประสาทถูกกดทับถาวรและเกิดอาการอ่อนแรงมากขึ้น
  • หากมีอาการปวดรุนแรง ชาขา อ่อนแรง หรือควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์ทันที

อาการปวดหลังร้าวลงขาแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?

อาการปวดหลังร้าวลงขาสามารถมีความรุนแรงและสาเหตุที่แตกต่างกันไป แต่บางครั้งอาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ดังนั้น ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้:

  1. อาการปวดที่รุนแรงมากและไม่ดีขึ้นแม้ใช้ยาแก้ปวด
    หากปวดหลังร้าวลงขาอย่างรุนแรง จนทำให้เคลื่อนไหวลำบาก หรืออาการไม่ทุเลาหลังจากพักผ่อนและใช้ยาเบื้องต้น ควรไปพบแพทย์
  2. อาการชา อ่อนแรง หรือมีความผิดปกติของการรับรู้ในขา
    ถ้ารู้สึกชา อ่อนแรง หรือสูญเสียความรู้สึกบริเวณขา หรือเท้า อาจเป็นสัญญาณของการกดทับเส้นประสาทที่รุนแรง ต้องรีบพบแพทย์
  3. ปัสสาวะหรืออุจจาระไม่สามารถควบคุมได้
    หากมีปัญหาในการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระ เช่น รู้สึกปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะไม่ออก ร่วมกับอาการปวดหลัง ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะฉุกเฉินทางระบบประสาท
  4. อาการปวดหลังร้าวลงขาที่เริ่มเป็นมากขึ้นและลุกลาม
    ถ้าอาการปวดร้าวจากหลังลงไปยังขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรือขยายวงกว้างมากขึ้น ควรได้รับการตรวจวินิจฉัย
  5. มีไข้ร่วมด้วย
    เมื่อมีอาการปวดหลังร้าวลงขาและมีไข้ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือภาวะอักเสบรุนแรงในร่างกาย ควรพบแพทย์เพื่อประเมินอาการทันที
  6. ประวัติการบาดเจ็บรุนแรงที่หลัง
    หากมีประวัติประสบอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บที่หลังร่วมกับอาการปวดร้าว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กอาการอย่างละเอียด

วิธีการรักษาอาการปวดหลังร้าวลงขาที่ P.S. Center

ดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางร่วมกับนักกายภาพบำบัด
เพื่อฟื้นฟูอย่างครอบคลุม ทั้ง “ต้นเหตุ” และ “ปลายเหตุ” ของอาการ

อาการปวดหลังร้าวลงขา ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะใช้งานหนักหรืออายุมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังอาจซ่อนปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่า เช่น

  • หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท
  • เส้นประสาทอักเสบ
  • กล้ามเนื้อหลัง–สะโพกตึงเรื้อรัง
  • ความผิดปกติของแนวกระดูกสันหลังที่กระทบต่อการเดินและการเคลื่อนไหว

แนวทางการรักษาแบบผสมผสานที่ P.S. Center เราใช้การดูแลร่วมกันระหว่าง ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการระงับปวด และ นักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และระบบประสาท

ขั้นตอนการดูแลประกอบด้วย:

  1. วิเคราะห์สาเหตุอย่างตรงจุด ด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกายเฉพาะทาง และส่งตรวจเพิ่มเติมหากจำเป็น
  2. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล ให้สอดคล้องกับอาการและพฤติกรรมการใช้งานร่างกายของแต่ละคน
  3. บรรเทาอาการเฉียบพลัน ด้วยเทคนิคการแพทย์และเวชศาสตร์ฟื้นฟู
  4. ฟื้นฟูในระยะยาว ด้วยโปรแกรมกายภาพบำบัด ปรับสมดุลโครงสร้างร่างกาย และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อพยุงหลัง–สะโพก

ขั้นตอนการวินิจฉัยะปวดหลังร้าวลงขาอย่างแม่นยำ

โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง P.S. Center
ที่ P.S. Center เราเชื่อว่า “การวินิจฉัยที่แม่นยำ” คือหัวใจของการรักษาที่ได้ผล เพราะอาการปวดหลัง และปวดหลังร้าวลงขา อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากกล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูกสันหลัง หรือเส้นประสาท เราจึงให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนของการตรวจ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาอาการปวดหลังและเส้นประสาท จะดูแลคุณตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการฟื้นฟู

1. ซักประวัติอาการอย่างละเอียด
แพทย์จะพูดคุยเพื่อเก็บข้อมูลสำคัญ ได้แก่

  • ลักษณะของอาการปวด (ปวดตึง ปวดหน่วง ปวดแปลบ หรือปวดร้าวลงขา)
  • ระยะเวลาและความถี่ของอาการ
  • สิ่งกระตุ้นหรือพฤติกรรมที่ทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น เช่น นั่งนาน ยกของหนัก
  • อาการร่วม เช่น ชา อ่อนแรง ขยับแล้วมีเสียงดังผิดปกติ หรือสะโพกตึงตอนเช้า

ทำไมขั้นตอนนี้สำคัญ?
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์แยกความแตกต่างระหว่าง

  • ปวดหลังจากกล้ามเนื้อ/ข้อต่อ
  • ปวดหลังร้าวลงขาจากเส้นประสาทถูกกดทับ
    และวางแผนตรวจเพิ่มเติมได้ตรงจุด

2. ตรวจร่างกายเฉพาะทาง
แพทย์จะประเมินทั้งระบบกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และระบบประสาทอย่างละเอียด เช่น

  • ตรวจคลำ บริเวณหลังส่วนล่าง สะโพก และขา เพื่อตรวจหาจุดกดเจ็บหรือกล้ามเนื้อตึงผิดปกติ
  • ประเมินการเคลื่อนไหว ของกระดูกสันหลังและสะโพก เช่น การก้ม เหยียด หมุน ว่ามีข้อจำกัดหรือปวดระหว่างเคลื่อนไหวหรือไม่
  • ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทั้งหลัง สะโพก ต้นขา และน่อง
  • ตรวจเส้นประสาท เช่น การยกขาเหยียดตรง (Straight Leg Raise Test) เพื่อดูว่ามีอาการร้าวลงขา ชา หรืออ่อนแรงหรือไม่
  • ตรวจเสถียรภาพโครงสร้าง ของข้อต่อและกระดูกสันหลัง–เชิงกราน

หากพบสัญญาณบ่งชี้ อาจส่งตรวจ MRI, X-ray หรืออัลตราซาวด์ เพื่อดูความเสียหายของหมอนรองกระดูก กระดูกสันหลัง หรือเส้นประสาทอย่างชัดเจน

3. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน แพทย์จะวิเคราะห์และออกแบบแผนการรักษาที่ตรงกับสาเหตุของอาการมากที่สุด โดยผสานการทำงานร่วมกับทีมนักกายภาพบำบัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทั้ง

  • บรรเทาอาการเฉียบพลัน เช่น ลดปวด ลดการอักเสบ
  • ฟื้นฟูในระยะยาว เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และปรับโครงสร้างร่างกายให้แข็งแรง

แนวทางการรักษาอาการปวดหลังร้าวลงขา ที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ”

มุ่งควบคุมอาการปวดและการอักเสบโดยไม่ต้องผ่าตัด

*ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละวิธีตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจไม่จำเป็นต้องฉีดยาหรือทำหัตถการทันที

4.การฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัด


จุดเด่นของการรักษาที่ P.S. Center

  • วินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางทุกครั้ง
    แพทย์จะประเมินอาการปวดหลังร้าวลงขาอย่างละเอียด ครอบคลุมทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระดูกสันหลังส่วนล่าง หมอนรองกระดูก เส้นประสาท กล้ามเนื้อหลัง–สะโพก กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscle) รวมถึงศึกษาพฤติกรรมและอิริยาบถที่ส่งผลต่อแนวกระดูกและการทำงานของเส้นประสาท เพื่อวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ
  • แผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
    ไม่ใช้แนวทางสำเร็จรูป แต่ปรับให้เหมาะสมกับสาเหตุและระดับอาการของแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ภาวะเส้นประสาทอักเสบ กล้ามเนื้อตึงเรื้อรัง หรือความไม่สมดุลของโครงสร้างกระดูกสันหลัง–เชิงกราน
  • เทคโนโลยีการแพทย์ทันสมัย
    เช่น PRP (Platelet-Rich Plasma), RFA (Radiofrequency Ablation), Ultrasound Therapy และ IV Infusion Therapy ซึ่งช่วยลดการอักเสบ คลายกล้ามเนื้อ และบรรเทาอาการปวดอย่างตรงจุด โดยหลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเรื้อรังหรือการผ่าตัดที่ไม่จำเป็น

ฟื้นฟูสมดุลกล้ามเนื้อและระบบประสาท

ทีมงานนักกายภาพบำบัดเฉพาะทางดูแลฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อหลัง–สะโพก และต้นขา พร้อมปรับสมดุลระบบกล้ามเนื้อและประสาทอย่างองค์รวม เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเดิน วิ่ง นั่ง–ยืน และทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ พร้อมลดความเสี่ยงบาดเจ็บซ้ำในระยะยาว

ดูบทความอื่น