หากคุณมีอาการปวดหัวเรื้อรัง… อย่าชะล่าใจ เพราะอาจเป็นมากกว่าความเครียดหรือพักผ่อนไม่พอ
หลายคนอาจเคยมีอาการปวดหัวเป็นครั้งคราว แต่หากคุณมีอาการปวดหัวถี่ขึ้น หรือปวดเรื้อรัง อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ อีกต่อไป เพราะอาจเป็น “สัญญาณเตือน” ของปัญหาที่เกี่ยวกับระบบประสาท กล้ามเนื้อ หรือแม้แต่โครงสร้างของกระดูกคอและศีรษะ
สาเหตุหลักของอาการปวดหัวและไมเกรน
- ความเครียด และภาวะกล้ามเนื้อตึงตัว
การทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ หรือภาวะเครียดสะสม อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ คอ บ่า ไหล่ตึงตัว เกิดแรงกดต่อเส้นประสาท จนทำให้ปวดหัวได้ - ไมเกรน (Migraine)
ไมเกรนคืออาการปวดหัวแบบเฉียบพลัน มักปวดข้างเดียว มีอาการคลื่นไส้ แพ้แสงและเสียงร่วมด้วย พบมากในผู้หญิง และอาจสัมพันธ์กับฮอร์โมน เช่น ช่วงมีประจำเดือน - ปวดหัวจากความผิดปกติของกระดูกคอ (Cervicogenic Headache)
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
การนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ การนอนผิดท่า หรือท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกหลักสรีรศาสตร์ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรังได้
อาการปวดหัวแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?
วิธีการรักษาอาการปวดหัวและไมเกรนที่ P.S. Center
ที่เราดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางร่วมกับนักกายภาพบำบัด เพื่อการฟื้นฟูที่ครอบคลุมทั้ง ต้นเหตุและปลายเหตุ ของอาการปวดหัวและไมเกรน
อาการปวดหัวเรื้อรัง หรือไมเกรน ไม่ใช่แค่อาการทั่วไปที่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต การทำงาน และอารมณ์แล้ว ยังอาจสะท้อนถึงความผิดปกติในระดับ “โครงสร้าง – ระบบประสาท – กล้ามเนื้อ” ที่ซับซ้อนและต้องได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี
ที่ P.S. Center เราใช้แนวทางการรักษาโดยความร่วมมือระหว่างทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการระงับปวด และทีมนักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของอาการปวดให้ตรงจุด ครอบคลุมทุกมิติ และออกแบบแผนการรักษาเฉพาะบุคคลในแต่ละราย
ขั้นตอนการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง
โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาอาการปวดหัวและไมเกรน
เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุดมากที่สุด ที่ P.S. Center เราให้ความสำคัญกับ “การวินิจฉัย” ในทุกขั้นตอนอย่างละเอียด โดยทีมแพทย์เฉพาะทางจะดูแลคุณตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยกระบวนการดังนี้
1. ซักประวัติอาการอย่างละเอียด (โดยแพทย์ทุกเคส)
แพทย์จะสอบถามข้อมูลสำคัญ เช่น
– ลักษณะของอาการปวด
– ระยะเวลาและความถี่
– สิ่งกระตุ้นหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
– อาการร่วมอื่น ๆ เช่น แสง เสียง หรือการเคลื่อนไหว เป็นต้น
*ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์เข้าใจภาพรวมของปัญหา และเริ่มต้นวางแผนการวินิจฉัยที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
2. ตรวจร่างกายเฉพาะทาง
ขั้นตอนต่อมาคือการตรวจประเมินร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
– ประเมินการเคลื่อนไหวของคอและไหล่
– ตรวจหาจุดกดเจ็บ บ่า คอ ไหล่
– ทดสอบระบบประสาทสมองและการทรงตัว
*หากจำเป็น อาจมีการส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น MRI เพื่อดูความผิดปกติของโครงสร้าง
3. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อประเมินอาการครบถ้วนแล้ว แพทย์จะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดร่วมกัน เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาที่ตรงกับสาเหตุของอาการมากที่สุด โดยเน้นการรักษาแบบบูรณาการร่วมกับทีมนักกายภาพบำบัด เพื่อให้ได้ผลทั้งการควบคุมอาการเฉียบพลัน และฟื้นฟูโครงสร้างในระยะยาว
แนวทางการรักษาอาการปวดหัวและไมเกรน ที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ”
แพทย์จะวินิจฉัยและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับระดับความรุนแรงของอาการ เช่น
1. Anti‑CGRP Injections for Migraine
–เป็นการใช้ยับยั้ง CGRP (calcitonin gene‑related peptide) ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญในการเกิดไมเกรน -ลด ความถี่และความรุนแรง ของการปวดหัวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วยกดวงจรอาการซ้ำซ้อน (headache cycle)
2.Botox Injection for Migraine
-ใช้ Botulinum toxin A ฉีดในจุดกล้ามเนื้อรอบศีรษะ คอ และบ่า เพื่อบล็อกสัญญาณประสาทที่กระตุ้นไมเกรน
-เหมาะกับผู้ที่มี chronic migraine (ปวด ≥ 15 วัน/เดือน และ ≥ 8 วันเป็นไมเกรน) ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
-การทำครั้งละประมาณ 15–20 นาที โดยสามารถลดวันปวดหัวลงได้ถึงประมาณ 50%
*ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละวิธีตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจไม่จำเป็นต้องฉีดยาหรือทำหัตถการทันที
3.การฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัด