การรักษาอาการ ปวดสะโพก ที่ P.S. Center

ปวดข้อสะโพกบ่อย ร่างกายกำลังเตือนอะไรเราอยู่?

หลายคนอาจเคยมีอาการปวดสะโพกจากการเดิน วิ่ง ยกของหนัก หรือยืนนาน ๆ แต่หากคุณเริ่มมีอาการปวดถี่ขึ้น ปวดสะโพกเรื้อรัง หรือมีอาการตึง กล้ามเนื้อเกร็ง ร้าวลงขา อ่อนแรง หรือมีอาการบวม อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกต่อไป เพราะอาจเป็น “สัญญาณเตือน” ของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อสะโพก เส้นประสาท กล้ามเนื้อรอบสะโพก หรือแม้แต่แนวโครงสร้างของร่างกายที่ไม่สมดุล ซึ่งหากปล่อยไว้ อาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้


สาเหตุหลักของอาการปวดสะโพก

  1. การใช้งานสะโพกหนักเกินไป หรือท่าทางไม่เหมาะสม
    การยืน เดิน วิ่ง หรือยกของหนักเป็นเวลานานโดยไม่พัก หรือใช้งานสะโพกซ้ำ ๆ ในท่าทางเดิม อาจทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อสะโพกถูกใช้งานเกินขีดจำกัด นำไปสู่อาการปวด อักเสบ หรือสะโพกล้า
  2. ภาวากล้ามเนื้อหรือข้อต่อสะโพกเสื่อม (Hip Muscle or Joint Degeneration)
    พบได้บ่อยในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก เกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อน ข้อต่อ หรือกล้ามเนื้อรอบสะโพก ทำให้เกิดการเสียดสีและอักเสบ ส่งผลให้ปวด สะโพกบวม หรือฝืดตึงเมื่อตื่นนอนตอนเช้า
  3. การบาดเจ็บของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ หรือหมอนรองกระดูก (Ligament, Muscle, or Disc Injury)
    มักเกิดจากอุบัติเหตุ เช่น การหกล้ม ข้อสะโพกเคลื่อน บิดตัวแรง หรือเล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว อาจทำให้ปวดทันที เดินลำบาก หรือมีอาการชา ร้าวลงขา
  4. โครงสร้างร่างกายไม่สมดุล
    การเดินผิดท่า ความผิดปกติของข้อเท้า ข้อเข่า หรือกระดูกสันหลัง รวมถึงการใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ล้วนส่งผลต่อการลงน้ำหนักที่สะโพกและการเคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดอาการปวดสะโพกสะสมในระยะยาว


อาการปวดสะโพกแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?

-ปวดสะโพกเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ โดยไม่ดีขึ้นแม้พักหรือใช้ยาทา/ยาแก้ปวด
-ปวดสะโพกร่วมกับอาการอื่น เช่น บวม แดง ร้อน ข้อต่อมีเสียงดัง หรือขยับลำบาก
-ปวดสะโพกเฉียบพลันหลังจากหกล้ม ข้อสะโพกเคลื่อน บิดตัวแรง หรือได้รับแรงกระแทก
-ปวดสะโพกเมื่อขึ้น–ลงบันได เดินนาน ๆ หรือนั่งยอง ๆ แล้วรู้สึกไม่มั่นคงหรือขาอ่อนแรง
-มีอาการฝืดตึงช่วงเช้า หรือสะโพกติดจนลุกนั่งไม่สะดวก
-ปวดสะโพกจนรบกวนการเดิน การนอน หรือการทำกิจวัตรประจำวัน
-มีประวัติโรคข้อสะโพกเสื่อม อักเสบ เส้นประสาทถูกกดทับ หรือโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อในครอบครัว และเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของข้อต่อสะโพก


วิธีการรักษาอาการปวดสะโพกที่ P.S. Center

ดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางร่วมกับนักกายภาพบำบัด เพื่อการฟื้นฟูที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ” ของอาการปวดสะโพก

อาการปวดสะโพก ไม่ใช่แค่ผลจากการใช้งานหนักหรืออายุมากขึ้น เพราะหากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง อาจพัฒนาเป็นปัญหาเรื้อรัง เช่น ข้อสะโพกเสื่อม เส้นเอ็นอักเสบ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือความผิดปกติของกล้ามเนื้อและข้อต่อสะโพกที่ส่งผลต่อการเดินและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน

ที่ P.S. Center เราใช้แนวทางการรักษาแบบผสมผสาน โดยความร่วมมือระหว่างทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการระงับปวด และทีมนักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของอาการให้ตรงจุด ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งข้อต่อ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง พร้อมออกแบบ แผนการรักษาเฉพาะบุคคล ที่ตอบโจทย์อาการและพฤติกรรมการใช้งานของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง


ขั้นตอนการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง

โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาอาการปวดสะโพก
เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุดมากที่สุด ที่ P.S. Center เราให้ความสำคัญกับ “การวินิจฉัย” ในทุกขั้นตอนอย่างละเอียด โดยทีมแพทย์เฉพาะทางจะดูแลคุณตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยกระบวนการดังนี้

1. ซักประวัติอาการอย่างละเอียด (โดยแพทย์ทุกเคส)
แพทย์จะสอบถามข้อมูลสำคัญ เช่น
– ลักษณะของอาการปวด
– ระยะเวลาและความถี่
– สิ่งกระตุ้นหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
– อาการร่วมอื่น ๆ เช่น สะโพกบวม ร้อน แดง ตึงหรือฝืดตอนเช้า อ่อนแรง หรือมีเสียงดังผิดปกติในข้อต่อเวลาขยับ  เป็นต้น
*ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์เข้าใจภาพรวมของปัญหา และเริ่มต้นวางแผนการวินิจฉัยที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

2. ตรวจร่างกายเฉพาะทาง
ขั้นตอนต่อมาคือการตรวจประเมินร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
– ตรวจคลำบริเวณสะโพกและข้อต่อที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจหาจุดกดเจ็บ บวม หรือการสะสมน้ำในข้อสะโพก
– ประเมินการเคลื่อนไหวของข้อสะโพก รวมถึงข้อเข่าและข้อเท้า ทั้งการงอ เหยียด หมุนเข้า–หมุนออก ว่ามีข้อจำกัดหรืออาการเจ็บขณะเคลื่อนไหวหรือไม่
– ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps), กล้ามเนื้อหลังขา (Hamstring), กล้ามเนื้อสะโพก (Gluteal muscles) และกล้ามเนื้อน่อง (Calf muscle)
– ตรวจเสถียรภาพของเอ็นและข้อต่อรอบสะโพก เช่น เอ็นรอบข้อสะโพกและข้อเข่า
– ประเมินความเกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น อาการร้าวลงขา อาการชา–อ่อนแรง หรือสัญญาณของเส้นประสาทถูกกดทับ

หากจำเป็น อาจมีการส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น MRI, X-ray หรืออัลตราซาวด์ เพื่อตรวจหาความเสียหายของกระดูก กระดูกอ่อน หมอนรองกระดูก หรือเส้นเอ็นอย่างชัดเจน

3. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อประเมินอาการครบถ้วนแล้ว แพทย์จะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดร่วมกัน เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาที่ตรงกับสาเหตุของอาการมากที่สุด โดยเน้นการรักษาแบบบูรณาการร่วมกับทีมนักกายภาพบำบัด
เพื่อให้ได้ผลทั้งการควบคุมอาการเฉียบพลัน และฟื้นฟูโครงสร้างในระยะยาว


แนวทางการรักษาอาการปวดสะโพก ที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ”

การรักษาอาการปวดในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงการกินยา หรือการผ่าตัดเท่านั้น แต่ยังมีเทคนิคเฉพาะทางที่สามารถช่วยลดอาการปวด ฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และปรับสมดุลการทำงานของร่างกายได้อย่างตรงจุด มาดูกันว่ามีเทคนิคใดบ้างที่ใช้บำบัดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. Dry Needling
เทคนิคการใช้เข็มขนาดเล็กที่ไม่มียา แทงเข้าไปยัง “จุดกดเจ็บ” หรือบริเวณกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวด เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังจากกล้ามเนื้อ เช่น ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง หรือสะบัก

2. การฉีดยาชาเพื่อลดอาการปวด (Nerve or Ganglion Block)
เป็นการฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าไปบริเวณเส้นประสาทหรือปมประสาทที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด ช่วยระงับความเจ็บปวดชั่วคราว และยังสามารถใช้เพื่อวินิจฉัยหาต้นเหตุของอาการปวดได้อย่างแม่นยำ

3. การฉีดยาลดอาการปวดด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP Therapy)
การใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากร่างกายผู้ป่วยเอง ฉีดเข้าสู่บริเวณที่มีการอักเสบหรือเสื่อมเรื้อรัง เช่น หมอนรองกระดูก เอ็น หรือกระดูกอ่อนรอบข้อสะโพก
PRP มีสารกระตุ้นการฟื้นฟู (Growth Factors) ที่ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะข้อเสื่อม เอ็นอักเสบ หรือเจ็บสะโพกเรื้อรังจากการใช้งานหนัก

4. การฉีดโบท็อกซ์ (Botox Injection)
โบท็อกซ์ไม่ได้ใช้เพียงในด้านความงามเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หรืออาการปวดบริเวณสลักเพชร (Piriformis Syndrome)
กลไกของ Botox คือการยับยั้งสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณความเจ็บปวด จึงช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและลดการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. RFA (Radiofrequency Ablation)
เทคนิคการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงสร้างความร้อนเฉพาะจุด ไปยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวด ทำให้เส้นประสาทไม่สามารถส่งสัญญาณปวดไปยังสมองได้
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดคอ หรือปวดข้อจากข้อเสื่อม ที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วยังไม่ดีขึ้น

*ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละวิธีตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจไม่จำเป็นต้องฉีดยาหรือทำหัตถการทันที

6.การฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัด


จุดเด่นของการรักษาที่ P.S. Center

  • ตรวจและวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางทุกเคส
    ประเมินอาการปวดสะโพกอย่างละเอียด ครอบคลุมตั้งแต่ข้อต่อ กล้ามเนื้อรอบสะโพก ต้นขา แกนกลางลำตัว (Core Muscle) ไปจนถึงท่าทางและพฤติกรรมที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างสะโพก
  • วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment)
    ปรับแนวทางให้เหมาะกับสาเหตุและระดับอาการของแต่ละราย ไม่ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ครอบคลุมตั้งแต่เอ็นสะโพกอักเสบ ข้อสะโพกเสื่อม หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้น ไปจนถึงปัญหากล้ามเนื้อไม่สมดุล
  • เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย
    เช่น PRP, RFA และ Ultrasound ช่วยลดการอักเสบ คลายกล้ามเนื้อ และบรรเทาอาการปวดได้อย่างตรงจุด โดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดเรื้อรังหรือการผ่าตัดที่ไม่จำเป็น

ฟื้นฟูการทำงานอย่างเป็นระบบโดยนักกายภาพเฉพาะทาง
เสริมความแข็งแรงและสมดุลของกล้ามเนื้อรอบสะโพกและต้นขา เพื่อให้กลับมาเดิน วิ่ง หรือนั่งยืนได้อย่างมั่นใจ พร้อมลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำในระยะยาว

ดูบทความอื่น