ปวด เมื่อย กล้ามเนื้อคอบ่าตึงเกิดจากอะไร?
อาการปวดคอเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย บางครั้งก็หายไปเอง แต่บางครั้งก็เรื้อรัง สร้างความรำคาญใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ ที่มีความเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและการเสื่อมสภาพของร่างกาย แล้วเมื่อไหร่ที่เราควรจะกังวลกับอาการปวดคอที่เกิดขึ้น?
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด “อาการปวดคอบ่า”
อาการปวดคอส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง มักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น
1.ท่าทางที่ไม่เหมาะสม
การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ โดยไม่เปลี่ยนท่า, การก้มหน้าเล่นโทรศัพท์เป็นเวลานาน, หรือแม้แต่ท่านอนที่ไม่ถูกต้อง
2.ความเครียด
กล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่าเกร็งตัวจากความเครียดสะสม
3.การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป
การยกของหนัก หรือการออกกำลังกายที่โฟกัสผิดจุด ทำให้ใช้กล้ามเนื้อคอมากเกินไป
4.หมอนหรือที่นอนที่ไม่เหมาะสม
ทำให้คออยู่ในท่าที่ไม่เป็นธรรมชาติขณะนอนหลับ
5.การบาดเจ็บ/อุบัติเหตุ
เช่น การสะดุดล้ม หรือ การเบรกรถยนต์กระทันหัน
การป้องกัน “อาการปวดคอบ่า” เบื้องต้น
1.ระวังอิริยาบถ
หลีกเลี่ยงการก้มเงยนานเกินไปขณะทำงาน เลือกโต๊ะทำงานและหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีความสูงระดับพอดีสายตา หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์เป็นเวลานานๆ
2.ควรหาเวลาหยุดพัก
เพียงคอหรือเปลี่ยนอิริยาบถสัก 2-3 นาทีในทุกชั่วโมง
3.เลือกให้กับ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องขับรถเป็นประจำหรือเป็นเวลานานควรเลือกที่มีพนักแข็งแรงและมีที่หนุนคอพอดี
4.ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
เพื่อไม่ให้เกิดความเครียด หรืออ่อนเพลียทางร่างกายหรือจิตใจ นอนบนที่นอนที่ ให้ศีรษะอยู่โดยใช้หมอนรองรับ
อาการปวดคอบ่าแบบไหนที่ต้อง “ควรรีบพบแพทย์”
แม้ว่าอาการปวดคอส่วนใหญ่จะไม่อันตราย แต่ก็มีบางกรณีที่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง ซึ่งไม่ควรมองข้าม และควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด หากมีอาการดังต่อไปนี้ :
1.ปวดร้าวจากคอไปยังบ่า หัวไหล่ แขน หรือสะบัก
โดยเฉพาะเมื่อหันศีรษะแล้วมีอาการเหมือนไฟฟ้าช็อต หรือมีอาการชา แสบร้อน หรือการรับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปบริเวณแขนหรือมือ
2.กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง
หรือมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งผิดปกติ เช่น ยกแขนไม่ขึ้น
3.ขยับคอลำบาก
เคลื่อนไหวคอได้น้อยลงกว่าปกติ หรือมีอาการเจ็บรุนแรงเวลาขยับ
4.คอมีลักษณะผิดรูป
เช่น คอเอียง คอก้มผิดธรรมชาติ หรือคลำได้ก้อนผิดปกติที่คอ
5.มีอาการผิดปกติร่วมอื่น ๆ
เช่น มีไข้สูง ปวดคอมาก กดเจ็บที่คอ หรืออ่อนแรงร่วมกับอาการปวด
6.มีประวัติอุบัติเหตุที่คอหรือกระแทกรุนแรง
เช่น อุบัติเหตุรถยนต์ ลื่นล้ม หรือศีรษะกระแทก
วิธีการรักษาอาการปวดคอบ่าที่ P.S. Center
ที่เราดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางร่วมกับนักกายภาพบำบัดเพื่อการฟื้นฟูที่ครอบคลุมทั้งต้นเหตุและปลายเหตุ อาการปวดคอเรื้อรังไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะนอกจากจะส่งผลต่อการทำงาน และแล้ว ยังอาจบ่งบอกถึงปัญหาในระดับ “โครงสร้าง–ระบบประสาท–กล้ามเนื้อ” ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจัง
ที่ P.S. Center เราใช้แนวทางการรักษาระหว่างทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการระงับปวด และ ทีมนักกายภาพบำบัด เพื่อวิเคราะห์และแก้ปัญหา อย่างตรงจุด ครบทุกมิติ
ขั้นตอนการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง
โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาอาการปวดคอ
ที่ P.S. Center เราให้ความสำคัญกับ “การวินิจฉัยอาการปวดคอ” ในทุกขั้นตอนอย่างละเอียด เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุดมากที่สุด ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาอาการปวดคอจะดูแลคุณตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยกระบวนการดังนี้
1. ซักประวัติอาการอย่างละเอียด (โดยแพทย์ทุกเคส)
แพทย์จะสอบถามข้อมูลสำคัญ เช่น
– ลักษณะของอาการปวด: ปวดแบบตื้อๆ, ปวดแปลบ, ปวดร้าว, หรือปวดตึง
– ระยะเวลาและความถี่: ปวดมานานแค่ไหน? ปวดเป็นๆ หายๆ หรือปวดตลอดเวลา
– สิ่งกระตุ้นหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง: มีกิจกรรมใดที่ทำให้อาการปวดแย่ลงหรือดีขึ้น เช่น การนั่งทำงานนานๆ, การเล่นโทรศัพท์, หรือการนอนในท่าทางที่ไม่เหมาะสม
– อาการร่วมอื่นๆ: มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เช่น คอแข็ง, มีเสียงกรอบแกรบเมื่อขยับคอ, ปวดร้าวลงแขน, ชา หรืออ่อนแรงที่มือ, หรือรู้สึกคอไม่มั่นคง เป็นต้น
2. ตรวจร่างกายเฉพาะทาง
ขั้นตอนต่อมาคือการตรวจประเมินร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะบริเวณคอและระบบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
– ประเมินการเคลื่อนไหวของคอ: ตรวจสอบองศาการเคลื่อนไหวของคอในทิศทางต่างๆ ว่าติดขัดหรือไม่ มีอาการปวดขณะเคลื่อนไหวหรือไม่
– ตรวจหาจุดกดเจ็บ: คลำหากล้ามเนื้อคอและบ่าที่มีอาการตึงหรือมีจุดกดเจ็บ
– ประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขน: เพื่อช่วยประเมินการกดทับต่อเส้นประสาท โดยเฉพาะในรายที่มีอาการปวดร้าวลงแขนร่วมด้วย
– ทดสอบการทำงานของเส้นประสาท: หากสงสัยว่ามีการกดทับเส้นประสาท แพทย์จะมีการทดสอบปฏิกิริยาตอบสนอง (reflexes) และความรู้สึกของผิวหนัง
*หากสงสัยการกดทับต่อเส้นประสาท แพทย์อาจมีการส่งตรวจ MRI เพิ่มเติมเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป
3. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อประเมินอาการครบถ้วนแล้ว แพทย์จะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดร่วมกัน เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาที่ตรงกับสาเหตุของอาการมากที่สุด โดยเน้นการรักษาแบบบูรณาการร่วมกับทีมนักกายภาพบำบัด
เพื่อให้ได้ผลทั้งการควบคุมอาการเฉียบพลัน และฟื้นฟูโครงสร้างในระยะยาว
แนวทางการรักษาอาการปวดคอบ่า ที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ”
การรักษาอาการปวดคอที่ P.S. Center มุ่งเน้นการ ควบคุมอาการปวดและการอักเสบโดยไม่ต้องผ่าตัด แพทย์จะวินิจฉัยและออกแบบแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงและสาเหตุของอาการ
ในผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีทางเลือกดังนี้
แพทย์จะวินิจฉัยและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับระดับความรุนแรงของอาการ เช่น
1.การฝังเข็มแห้ง (Dry needling) และการฉีดยาเข้าปมกล้ามเนื้อ (Trigger point injection)
เหมาะสำหรับลดปวดในกลุ่มที่มีอาการปวดคอจากกล้ามเนื้อตึงตัว (myofascial pain syndrome) ซึ่งอาจมีปมกล้ามเนื้อที่ขดแน่นเป็นสาเหตุของการปวดคอเรื้อรัง
2. การฉีดโบท็อก (Botox Injection)
การฉีดโบท็อก เหมาะกับผู้ป่วยที่มีการใช้กล้ามเนื้อบางส่วนมากเกินไป จนเกิดความไม่สมดุล แพทย์จะพิจารณาฉีดโบท็อกไปยังกล้ามเนื้อที่หดเกร็งมากเพื่อเสริมความสมดุลมากขึ้น จากนั้นผู้ป่วยจึงเริ่มทำการออกกำลังกายบำบัดร่วมกับนักกายภาพ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดอื่นๆอย่างสมดุล
3.RFA (Radiofrequency Ablation)
เทคนิคใช้คลื่นความถี่วิทยุยับยั้งการส่งสัญญาณปวดจากเส้นประสาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดคอเรื้อรังจากภาวะข้อต่อกระดูกขอเสื่อม (Facet joint syndrome)
4.การฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัด
ทีมกายภาพจะมาช่วย ฟื้นฟูโครงสร้าง กล้ามเนื้อ และการเพื่อลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ การฟื้นฟูถือเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างปลอดภัย โดยนักกายภาพจะประเมินและออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคล เช่น
– การรักษาด้วยมือ (Manual Therapy)
เทคนิคเฉพาะของนักกายภาพบำบัดที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณคอ ลดแรงกดและความตึงตัว พร้อมฟื้นฟูการเคลื่อนไหว
- Trigger Point Release – คลายจุดกดเจ็บที่สะสมความตึง
- Cervical Mobilization – ดัดและขยับข้อคอเพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว
- Suboccipital Release – คลายกล้ามเนื้อฐานกะโหลก ลดอาการปวดคอและปวดร้าวขึ้นศีรษะ
– การรักษาด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ (Ultrasound Therapy)
ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดลึกในเนื้อเยื่อ
- ลดการอักเสบ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด
- คลายกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่
– การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า (Electrical Stimulation)
ส่งกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
- คลายกล้ามเนื้อเกร็ง
- ลดปวดคอ ปวดร้าวลงไหล่หรือท้ายทอย
– การอัลตราซาวด์ร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า (Combined Ultrasound & Electrical Stimulation)
ผสมผสานข้อดีของทั้งสองเทคนิค เพื่อ
- เพิ่มการไหลเวียนเลือด
- ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
- บรรเทาอาการปวดร้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) ยืดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ที่มักหดเกร็งเรื้อรัง
- เพิ่มความยืดหยุ่น
- ลดแรงดึงที่ส่งต่อคอและฐานกะโหลก
- บรรเทาอาการปวดและตึงสะสม
– โปรแกรมออกกำลังกายเฉพาะบุคคล (Individualized Exercise Program)
ออกแบบโดยนักกายภาพบำบัดตามสภาพร่างกายและสาเหตุของแต่ละคน
- เสริมความแข็งแรงและสมดุลของคอ–บ่า–ไหล่
- ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ
- ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำระยะยาว
– การบำบัดด้วยความร้อนหรือความเย็น (Thermal Therapy)
ใช้ได้ทั้งช่วงอักเสบเฉียบพลันและช่วงฟื้นฟู
- ประคบร้อน: กระตุ้นการไหลเวียนเลือด คลายกล้ามเนื้อ
- ประคบเย็น: ลดอักเสบและบรรเทาปวดได้ทันที
ทำไมต้องฟื้นฟูกับนักกายภาพบำบัดที่ P.S. Center?
เราดูแลมากกว่าการ “นวดคลาย” เพราะเรามุ่งแก้ที่ ต้นเหตุของปัญหา
ขั้นตอนดูแลที่ออกแบบเฉพาะบุคคล:
- ประเมินอย่างละเอียด ทั้งโครงสร้างคอ ท่าทาง และการเคลื่อนไหว
- เทคนิคกายภาพบำบัด คลายกล้ามเนื้อและปรับการทำงานของข้อต่อ
- โปรแกรมเสริมความแข็งแรง เฉพาะบุคคล เพื่อป้องกันอาการกลับมาเป็นซ้ำ
- คำแนะนำการใช้ชีวิตจริง เช่น ท่านั่งที่ถูกต้อง การพักสายตา และการยืดเหยียดระหว่างวัน
จุดเด่นของการรักษาที่ P.S. Center
– วินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางทุกครั้งก่อนการรักษา พร้อมประเมินอาการอย่างละเอียด
– ใช้เทคนิคหัตถการตามความเหมาะสม ของอาการแต่ละบุลคล
– มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรักษา
– ฟื้นฟูเสริมด้วยกายภาพบำบัด ปรับสมดุลกล้ามเนื้อ ข้อ และเส้นเอ็น
– ดูแลแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment) เพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
การรักษาที่ได้ที่สุด มักเป็นการผสมผสานวิธีการต่างๆ เข้าด้วยกัน และปรับให้เหมาะกับสภาพร่างกาย ระดับความรุนแรงของอาการ และวิถีชีวิตของผู้ป่วยแต่ละราย สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อการกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติโดยเร็วที่สุด