การรักษาอาการ ปวดหลัง ที่ P.S. Center

ปวดหลังมีสาเหตุเกิดจากอะไร? รู้จักสาเหตุหลักและอาการที่ควรพบแพทย์

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตประจำวันของหลายคน การทำความเข้าใจถึงสาเหตุของอาการปวดหลัง รวมถึงการรู้ว่าอาการแบบไหนควรไปพบแพทย์ จะช่วยให้เราดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

สาเหตุหลักของอาการปวดหลัง

อาการปวดหลังเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากปัจจัยทางกายภาพและปัจจัยอื่น ๆ โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่พบได้บ่อยมีดังนี้

  1. กล้ามเนื้อหรือเอ็นหลังตึงหรือบาดเจ็บ
    การใช้งานกล้ามเนื้อหลังมากเกินไป เช่น การยกของหนัก การนั่งหรือยืนผิดท่าเป็นเวลานาน รวมถึงการออกกำลังกายที่หนักเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเกิดการตึงเครียดหรือบาดเจ็บได้
  2. หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือเคลื่อน
    เมื่อหมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการเสื่อมหรือเคลื่อนออกจากตำแหน่ง อาจกดทับเส้นประสาทบริเวณหลัง ทำให้เกิดอาการปวดหลังร้าวลงขาหรือชาบริเวณขาได้
  3. ข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อม (Facet joint syndrome) ผู้ป่วยจะมีอาการหลัง โดยอาจมีร้าวลงสะโพกในบางครั้ง ปวดมากขึ้นเมื่อแอ่นหรือเอ้ยวตัว
  4. โรคหรือภาวะทางการแพทย์อื่น ๆ
    เช่น การติดเชื้อในกระดูกสันหลัง การอักเสบของข้อต่อหลัง การมีก้อนเนื้องอกในช่องหลัง หรือปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะภายใน เช่น ไต หรือระบบทางเดินปัสสาวะ ที่อาจมีอาการปวดสะท้อนมายังหลัง


อาการปวดหลังแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?

โดยทั่วไป อาการปวดหลังส่วนใหญ่จะดีขึ้นเองภายใน 2-4 สัปดาห์ด้วยการดูแลตัวเอง เช่น พักผ่อนและปรับท่าทาง แต่ในบางกรณีอาจต้องได้รับการตรวจและรักษาโดยแพทย์อย่างเร่งด่วน ดังนี้

  • อาการปวดหลังเรื้อรังนานเกิน 3 เดือน
  • ปวดหลังรุนแรงอย่างฉับพลัน หรือปวดที่ไม่ดีขึ้นหลังพักผ่อนหลายวัน
  • อาการปวดหลังร้าวลงขา หรือมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่ขา
  • มีอาการชาหรืออ่อนแรงที่บริเวณอวัยวะเพศ หรือกลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ (อาการของภาวะ Cauda Equina Syndrome)
  • มีไข้สูงร่วมกับอาการปวดหลัง
  • มีน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เคยประสบอุบัติเหตุรุนแรง หรือมีประวัติกระดูกพรุนหรือมะเร็ง

วิธีการรักษาอาการปวดหลังที่ P.S. Center

ดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางร่วมกับนักกายภาพบำบัด เพื่อการฟื้นฟูที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ” ของอาการปวดหลัง

อาการปวดหลัง ไม่ใช่แค่ผลจากการใช้งานหนักหรืออายุมากขึ้น เพราะหากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง อาจพัฒนาเป็นปัญหาเรื้อรัง เช่น หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือเคลื่อน เส้นประสาทอักเสบ ภาวากล้ามเนื้อหลังตึงเรื้อรัง หรือความผิดปกติของแนวกระดูกสันหลังที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิต

ที่ P.S. Center เราใช้แนวทางการรักษาแบบผสมผสาน โดยความร่วมมือระหว่างทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการระงับปวด และทีมนักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของอาการให้ตรงจุด ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง พร้อมออกแบบ แผนการรักษาเฉพาะบุคคล ที่ตอบโจทย์อาการและพฤติกรรมการใช้งานของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง


ขั้นตอนการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง

โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาอาการปวดหลัง
เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุดมากที่สุด ที่ P.S. Center เราให้ความสำคัญกับ “การวินิจฉัย” ในทุกขั้นตอนอย่างละเอียด โดยทีมแพทย์เฉพาะทางจะดูแลคุณตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยกระบวนการดังนี้

1. ซักประวัติอาการอย่างละเอียด (โดยแพทย์ทุกเคส)
แพทย์จะสอบถามข้อมูลสำคัญ เช่น
– ลักษณะของอาการปวด
– ระยะเวลาและความถี่
– สิ่งกระตุ้นหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
– อาการร่วมอื่น ๆ เช่น  ปวดร้าวลงขา ชา อ่อนแรง
*ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์เข้าใจภาพรวมของปัญหา และเริ่มต้นวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

2. ตรวจร่างกายเฉพาะทาง
ขั้นตอนต่อมาคือการตรวจประเมินร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
– ตรวจคลำบริเวณหลังส่วนล่างและแนวกระดูกสันหลัง เพื่อตรวจหาจุดกดเจ็บ บวม หรือกล้ามเนื้อตึงผิดปกติ
–ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา เพื่อประเมินการกดทับต่อเส้นประสาท
– ตรวจพิเศษเพื่อเพื่อแยกโรค อาทิเช่น ปวดหลังจากกระดูกข้อต่อสื่อม (Facet joint syndrome) ข้อต่อเชิงกรานเสื่อม (SI joint syndrome)
*หากสงสัยภาวะการกดทับต่อเส้นประสาท อาจมีการส่งตรวจเช่น MRI เพิ่มเติมเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป

3. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อประเมินอาการครบถ้วนแล้ว แพทย์จะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดร่วมกัน เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาที่ตรงกับสาเหตุของอาการมากที่สุด โดยเน้นการรักษาแบบบูรณาการร่วมกับทีมนักกายภาพบำบัด
เพื่อให้ได้ผลทั้งการควบคุมอาการเฉียบพลัน และฟื้นฟูโครงสร้างในระยะยาว


แนวทางการรักษาอาการปวดหลัง ที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ”

มุ่งควบคุมอาการปวดและการอักเสบโดยไม่ต้องผ่าตัด
1. ฉีดยาลดการอักเสบเฉพาะจุด
– เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังจากการอักเสบของข้อต่อ กระดูกสันหลัง แบบเฉียบพลัน ปวดมาไม่นานเกิน 3 เดือน

2. RFA (Radiofrequency Ablation)
– เทคนิคใช้คลื่นวิทยุเพื่อหยุดการส่งสัญญาณปวดจากเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหลังจากข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อม (Facet joint syndrome)
*ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละวิธีตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจไม่จำเป็นต้องฉีดยาหรือทำหัตถการทันที

3.การฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัด
ที่ P.S. Center นักกายภาพบำบัดจะช่วยวิเคราะห์ สาเหตุของอาการปวดหลังที่แท้จริง ไม่ว่าจะมาจากกล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็น หรือหมอนรองกระดูก และวางแผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล เพื่อ…

✔ คลายความตึงของกล้ามเนื้อหลังและสะโพก
✔ ลดอาการปวดและการอักเสบของกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ
✔ ฟื้นฟูความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว (Core Muscle) เพื่อพยุงหลัง
✔ ปรับพฤติกรรมและท่าทางในการนั่ง ยืน และยกของให้เหมาะสม
✔ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหรือพัฒนาเป็นปัญหาเรื้อรัง


วิธีการรักษาทางกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยปวดหลัง

  1. อัลตราซาวด์บำบัด (Ultrasound Therapy)
    ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างความร้อนลึกถึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณหลังและเอว
    ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดการอักเสบและความตึง ทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
  2. การกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation)
    ใช้กระแสไฟฟ้าช่วยลดปวด ลดเกร็ง และเพิ่มการไหลเวียนเลือด เหมาะกับผู้ที่ปวดจากกล้ามเนื้อเกร็งเรื้อรังหรือมีอาการชา
  3. การอัลตราซาวด์ร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า
    เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคลายกล้ามเนื้อและลดอักเสบ เหมาะกับผู้ที่มีปวดหลังร่วมกับการกดทับเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้ออักเสบ
  4. การรักษาด้วยมือ (Manual Therapy) นักกายภาพบำบัดใช้เทคนิคมือเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
    • Mobilization: ขยับข้อต่อกระดูกสันหลังอย่างอ่อนโยน ลดติดขัด
    • Myofascial Release: คลายพังผืดรอบหลังและสะโพก
    • Trigger Point Therapy: คลายปมกล้ามเนื้อบริเวณหลัง เอว และก้น
    • Fascia Release: ลดตึงของเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ เพิ่มการไหลเวียนเลือด
  5. การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching Exercise)
    เน้นยืดกล้ามเนื้อหลัง เอ็นร้อยหวาย สะโพก และต้นขา เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดแรงกดบนกระดูกสันหลัง
  6. โปรแกรมการออกกำลังกายเฉพาะบุคคล (Individual Exercise Program)
    • เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Strengthening)
    • ปรับสมดุลการทำงานของกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง
    • เพิ่มความทนทานและป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
  7. การรักษาด้วยความร้อนหรือความเย็น (Thermal Therapy)
    • ประคบร้อน: ช่วยคลายกล้ามเนื้อหลังที่เกร็ง เหมาะกับอาการเรื้อรัง
    • ประคบเย็น: ลดอักเสบและบวม เหมาะกับการบาดเจ็บเฉียบพลัน
  8. การติด Kinesio Tape
    ใช้เทปกายภาพบำบัด (Kinesio Tape) ติดบนผิวหนังบริเวณหลังหรือเอวเพื่อ

    • ลดแรงกดและแรงตึงของกล้ามเนื้อ
    • กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลือง ลดบวมและการอักเสบ
    • ช่วยพยุงและประคองหลังให้คงท่าทางที่เหมาะสม
    • เพิ่มการรับรู้ตำแหน่งของร่างกาย (Proprioception) เพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำ

จุดเด่นของการรักษาที่ P.S. Center

– วินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางทุกครั้งก่อนการรักษา พร้อมประเมินอาการอย่างละเอียด
– ใช้เทคนิคหัตถการตามความเหมาะสม ของอาการแต่ละบุลคล
– มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรักษา
– ฟื้นฟูเสริมด้วยกายภาพบำบัด ปรับสมดุลกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเส้นเอ็น
– ดูแลแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment) เพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

การรักษาที่ได้ประสิทธิภาพที่สุด มักเป็นการผสมผสานวิธีการต่างๆ เข้าด้วยกัน และปรับให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ตามระดับความรุนแรงของอาการ และวิถีชีวิตของผู้ป่วยแต่ละราย สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อการกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติโดยเร็วที่สุด

ดูบทความอื่น