การรักษาอาการ ปวดไหล่ บ่า ที่ P.S. Center

อาการปวดไหล่… อย่ามองข้ามเด็ดขาด!
หลายคนอาจเคยมีอาการ “บ่าแข็ง” หรือ “ไหล่” จากการทำงานหน้าคอมหรือแบกของหนัก แต่รู้ไหมว่า…ถ้าอาการเหล่านี้เกิดซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน หรือปวดจนร้าวลงแขน อาจไม่ใช่แค่เรื่องกล้ามเนื้อทั่วไป แต่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาลึกในระดับ “ข้อไหล่–เส้นเอ็น–กระดูกคอ–เส้นประสาท”


สาเหตุหลักของอาการปวดไหล่

1. กล้ามเนื้อบ่า–คอ ตึงสะสมจากท่าทางซ้ำ ๆ
นั่งหน้าคอม ก้มเล่นมือถือ หรือสะพายกระเป๋าหนัก เป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งจนกดทับเส้นประสาท

2. เส้นเอ็นไหล่อักเสบ
กล้ามเนื้อสำคัญที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของไหล่อักเสบเรื้อรัง ทำให้ยกแขนไม่สุด ปวดจี๊ดเวลาขยับ

3. ข้อไหล่เสื่อม หรือภาวะไหล่ติด
พบมากในคนวัยทำงานและผู้สูงอายุ เคลื่อนไหวลำบาก ปวดลึก ๆ โดยเฉพาะช่วงตื่นนอน

4. หมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท
อาการปวดไหล่ที่ร้าวลงแขนหรือปลายนิ้ว อาจเกิดจากปัญหากระดูกต้นคอที่ส่ง


อาการปวดแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?

-ปวดไหล่หรือบ่าเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ โดยไม่ดีขึ้นแม้พักหรือใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ
-ขยับแขนหรือยกแขนไม่สุด ปวดจี๊ดเมื่อยกของหรือหมุนแขน
-มีอาการปวดร้าวจากไหล่ไปจนถึงแขน ข้อมือ หรือปลายนิ้ว
-ปวดร่วมกับอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือแขนไม่มีแรง
-ข้อไหล่ติด เคลื่อนไหวได้น้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงเช้าหรือเวลานอน
-มีอาการปวดมากตอนกลางคืน จนรบกวนการนอน
-มีอาการหลังอุบัติเหตุ เช่น ล้ม กระแทก หรือยกของผิดท่า แล้วมีเสียง “ก๊อกแก๊ก” หรือรู้สึก
-ปวดซ้ำในตำแหน่งเดิมบ่อย ๆ โดยไม่สามารถระบุสาเหตุได้


วิธีการรักษาอาการปวดไหล่ที่ P.S. Center

ที่เราดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางร่วมกับนักกายภาพบำบัด เพื่อการฟื้นฟูที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ” ของอาการปวดไหล่–บ่า

อาการปวดไหล่–บ่า ไม่ใช่แค่ความเมื่อยล้าทั่วไป เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รับการดูแลที่ถูกต้อง อาจพัฒนาไปสู่ภาวะเรื้อรัง เช่น เอ็นไหล่อักเสบ ข้อไหล่ติด หรือปัญหาเส้นประสาทที่ส่งผลถึงแขนและมือ

ที่ P.S. Center เราใช้แนวทางการรักษาแบบผสมผสาน โดยความร่วมมือระหว่าง ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการระงับปวด และ ทีมนักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของอาการให้ตรงจุด ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งโครงสร้าง ข้อ เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และระบบประสาท พร้อมออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล


ขั้นตอนการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง

โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาอาการปวดไหล่-บ่า
เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุดมากที่สุด ที่ P.S. Center เราให้ความสำคัญกับ “การวินิจฉัย” ในทุกขั้นตอนอย่างละเอียด โดยทีมแพทย์เฉพาะทางจะดูแลคุณตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยกระบวนการดังนี้

1. ซักประวัติอาการอย่างละเอียด (โดยแพทย์ทุกเคส)
แพทย์จะสอบถามข้อมูลสำคัญ เช่น
– ลักษณะของอาการปวด
– ระยะเวลาและความถี่
– สิ่งกระตุ้นหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
– อาการร่วมอื่น ๆ เช่น ไหล่ติด ยกแขนไม่ขึ้น แขนอ่อนแรง หรือมีอาการชาร่วมด้วย เป็นต้น
*ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์เข้าใจภาพรวมของปัญหา และเริ่มต้นวางแผนการวินิจฉัยที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

2. ตรวจร่างกายเฉพาะทาง
ขั้นตอนต่อมาคือการตรวจประเมินร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
– ประเมินการเคลื่อนไหวของข้อไหล่
– ตรวจหาจุดกดเจ็บ กล้ามเนื้อที่ตึง เส้นเอ็นที่อักเสบ หรือบาดเจ็บ
–ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบไหล่และแขน

-ประเมินการทำงานของเส้นประสาท เช่น อาการชาร้าว อ่อนแรง หรือสะท้อนลงแขน
*หากจำเป็น อาจมีการส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น MRI, X-ray หรืออัลตราซาวด์ เพื่อดูความผิดปกติของโครงสร้างข้อไหล่ เส้นเอ็น และกระดูกต้นคออย่างชัดเจน

3. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อประเมินอาการครบถ้วนแล้ว แพทย์จะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดร่วมกัน เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาที่ตรงกับสาเหตุของอาการมากที่สุด โดยเน้นการรักษาแบบบูรณาการร่วมกับทีมนักกายภาพบำบัด
เพื่อให้ได้ผลทั้งการควบคุมอาการเฉียบพลัน และฟื้นฟูโครงสร้างในระยะยาว


แนวทางการรักษาอาการปวดไหล่ที่ครอบคลุมทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ”

แพทย์จะวินิจฉัยและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับระดับความรุนแรงของอาการ เช่น
1. Dry Needling
เป็นเทคนิคที่ใช้ “เข็มขนาดเล็กที่ไม่มียา” สอดเข้าไปยังจุดที่มีกล้ามเนื้อหดเกร็ง (Trigger Point) เพื่อคลายการตึง ลดการเกร็ง และกระตุ้นให้กล้ามเนื้อคลายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เช่น ปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดหลัง หรือออฟฟิศซินโดรม

2. การบล็อกเส้นประสาท (Nerve Block)
เป็นการฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าไปบริเวณเส้นประสาทหรือปมประสาทที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด เพื่อระงับอาการปวดชั่วคราว หรือใช้ในการวินิจฉัยแหล่งกำเนิดของอาการปวด
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดจากเส้นประสาท เช่น ปวดร้าวลงแขน ขา หรือปวดเรื้อรังหลังการผ่าตัด

3. PRP Therapy (Platelet-Rich Plasma)
PRP คือการนำเลือดของผู้ป่วยเองมาสกัดให้ได้ “เกล็ดเลือดเข้มข้น” ซึ่งมีสารกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (Growth Factors) แล้วฉีดกลับไปยังบริเวณที่บาดเจ็บหรือมีการอักเสบ ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูของเอ็น กล้ามเนื้อ และข้อต่อ ลดการอักเสบได้อย่างเป็นธรรมชาติ นิยมใช้รักษาอาการ เช่น

  • เอ็นอักเสบเรื้อรัง
  • เอ็นฉีกขาดบางส่วน
  • ข้อเสื่อม โดยเฉพาะข้อเข่า ข้อไหล่ และข้อสะโพก

4. การฉีดน้ำเลี้ยงข้อ (Hyaluronic Acid Injection)
“Hyaluronic Acid” เป็นสารที่มีลักษณะข้นและหนืด ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นภายในข้อ ช่วยลดแรงกระแทกระหว่างกระดูก และเพิ่มความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหว

5. RFA (Radiofrequency Ablation)

เป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) ส่งความร้อนไปยังเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวด เพื่อยับยั้งการส่งสัญญาณนั้นไปยังสมอง
ผลคือ อาการปวดจะลดลงโดยไม่กระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทส่วนอื่น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง

*ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละวิธีตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจไม่จำเป็นต้องฉีดยาหรือทำหัตถการทันที

6.การฟื้นฟูโดยนักกายภาพบำบัด
ทุกแผนการรักษาจะเชื่อมโยงกับการฟื้นฟูทางกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการกล้ามเนื้อ บริหารกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ และฝึกการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม
-นักกายภาพจะช่วยประเมินและปรับท่าทางในการทำงานหรือกิจวัตรประจำวัน เช่น การยกของ นั่งหน้าคอม หรือการนอน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
-ใช้เครื่องมือทางกายภาพ เช่น อัลตราซาวด์ กระตุ้นไฟฟ้า หรือเทคนิค manual therapy เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดการอักเสบ
-โปรแกรมออกเฉพาะบุคคล เพื่อเสริมความแข็งแรงและความมั่นคงของข้อไหล่
ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ และช่วยให้การเคลื่อนไหวกลับมาเป็นปกติอย่างมั่นใจ


จุดเด่นของการรักษาที่ P.S. Center

-วินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางก่อนการรักษา พร้อมประเมินอาการไหล่–บ่าอย่างละเอียด
-วางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ไม่ใช้แนวทางสำเร็จรูป
-มีเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย เช่น PRP, RFA, Ultrasound และระบบวินิจฉัยภาพ
-เน้นการรักษาโดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดเรื้อรังหรือการผ่าตัดโดยไม่จำเป็น
-ฟื้นฟูข้อไหล่–กล้ามเนื้อบ่า และระบบประสาทอย่างเป็นองค์รวม โดยทีมกายภาพบำบัดเฉพาะทาง

ดูบทความอื่น